อาการของโรคแพนิก (Panic Disorder)โรคแพนิกเป็นภาวะทางสุขภาพจิตที่จัดอยู่ในกลุ่มโรควิตกกังวล ผู้ป่วยจะมีอาการ ตื่นตระหนกตกใจอย่างรุนแรงและฉับพลัน (Panic Attack) เกิดขึ้นซ้ำๆ โดยไม่มีสิ่งกระตุ้นที่ชัดเจน หรือเกิดขึ้นในสถานการณ์ที่ไม่ได้เป็นอันตรายจริง ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกกลัว ควบคุมตัวเองไม่ได้ และมักจะกังวลว่าจะเกิดอาการขึ้นอีก ทำให้ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน
อาการของโรคแพนิก
1. อาการตื่นตระหนก (Panic Attack):
เป็นหัวใจสำคัญของโรคแพนิก อาการจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรงที่สุดภายใน 10 นาทีแรก และมักเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด อาการเหล่านี้จะเกิดขึ้นพร้อมกันอย่างน้อย 4 อาการขึ้นไป:
อาการทางกาย (Physical Symptoms):
ใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว หรือหัวใจเต้นแรงผิดปกติ
เหงื่อออกมาก
ตัวสั่น หรือมือสั่น
หายใจไม่อิ่ม รู้สึกเหมือนสำลัก หรือหายใจไม่พอ
เจ็บหน้าอก หรือแน่นหน้าอก
คลื่นไส้ หรือปั่นป่วนในท้อง
วิงเวียน มึนงง รู้สึกจะวูบ หรือเป็นลม
รู้สึกร้อนวูบวาบ หรือหนาวสั่น
รู้สึกชา หรือซ่าตามร่างกาย
อาการทางความคิดและจิตใจ (Cognitive and Psychological Symptoms):
รู้สึกเหมือนตัวเองไม่จริง หรือสิ่งแวดล้อมรอบตัวไม่จริง (Derealization/Depersonalization)
กลัวว่าจะควบคุมตัวเองไม่ได้ หรือกลัวว่าจะเป็นบ้า
กลัวว่าจะตาย
2. อาการที่เกิดขึ้นระหว่างช่วงที่ไม่มี Panic Attack:
หลังจากประสบกับ Panic Attack ผู้ป่วยมักจะมีความกังวลตามมา:
ความกังวลว่าจะเกิดอาการซ้ำ (Anticipatory Anxiety): ผู้ป่วยจะกังวลอย่างมากว่าเมื่อไหร่จะเกิดอาการตื่นตระหนกครั้งต่อไป และมักจะพยายามหลีกเลี่ยงสถานการณ์หรือสถานที่ที่เชื่อว่าอาจกระตุ้นให้เกิดอาการ
การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม: อาจเริ่มหลีกเลี่ยงกิจกรรมต่างๆ ที่เคยทำได้ปกติ เช่น ไม่ออกจากบ้านคนเดียว, ไม่ไปในที่คนพลุกพล่าน, ไม่ขับรถ หรือไม่ขึ้นลิฟต์ ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะ กลัวที่โล่ง (Agoraphobia) ได้
สาเหตุของโรคแพนิก
สาเหตุของโรคแพนิกยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่าเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน:
ความผิดปกติของสารสื่อประสาทในสมอง: โดยเฉพาะ Serotonin, Norepinephrine และ GABA ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมอารมณ์และความวิตกกังวล
พันธุกรรม: มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นหากมีคนในครอบครัวเป็นโรคแพนิก
ความเครียดและปัจจัยทางจิตใจ: เหตุการณ์สะเทือนใจ หรือความเครียดเรื้อรัง อาจเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการในผู้ที่มีแนวโน้ม
ปัจจัยทางสภาพแวดล้อม: การใช้สารเสพติดบางชนิด เช่น คาเฟอีน, แอมเฟตามีน หรือการถอนแอลกอฮอล์ในผู้ติดสุรา
โครงสร้างสมอง: การทำงานที่ผิดปกติของส่วนที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมความกลัว เช่น Amygdala
การวินิจฉัย
แพทย์จะวินิจฉัยโรคแพนิกจากการ:
ซักประวัติอย่างละเอียด: สอบถามอาการตื่นตระหนกที่เกิดขึ้น ความถี่ ความรุนแรง และผลกระทบต่อการใช้ชีวิต
การตรวจร่างกายและตรวจเลือด: เพื่อแยกแยะภาวะอื่นๆ ที่มีอาการคล้ายกัน เช่น โรคหัวใจ, โรคไทรอยด์เป็นพิษ, หรือภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
ประเมินทางจิตวิทยา: อาจมีการใช้แบบประเมิน หรือส่งต่อจิตแพทย์เพื่อวินิจฉัยอย่างละเอียด
การรักษา
โรคแพนิกเป็นโรคที่สามารถรักษาและควบคุมอาการได้ดี หากได้รับการรักษาที่เหมาะสมและต่อเนื่อง แนวทางการรักษาหลักๆ ได้แก่:
การใช้ยา (Pharmacotherapy):
ยาต้านเศร้า (Antidepressants): โดยเฉพาะกลุ่ม Selective Serotonin Reuptake Inhibitors (SSRIs) และ Serotonin-Norepinephrine Reuptake Inhibitors (SNRIs) ซึ่งช่วยปรับสมดุลสารสื่อประสาท ใช้เวลาออกฤทธิ์ประมาณ 2-4 สัปดาห์ และต้องรับประทานต่อเนื่องตามแพทย์สั่ง
ยากลุ่มคลายกังวล (Anxiolytics): เช่น Benzodiazepines ใช้เพื่อบรรเทาอาการเฉียบพลันในช่วงที่ Panic Attack เกิดขึ้นอย่างรุนแรง แต่อาจมีผลข้างเคียงและโอกาสติดยาหากใช้เป็นเวลานาน จึงมักใช้ในระยะสั้นๆ หรือตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
จิตบำบัด (Psychotherapy):
การบำบัดความคิดและพฤติกรรม (Cognitive Behavioral Therapy - CBT): เป็นการบำบัดที่มีประสิทธิภาพสูงสำหรับโรคแพนิก ผู้ป่วยจะได้เรียนรู้:
การปรับเปลี่ยนความคิดที่ผิดเพี้ยนและน่ากลัวเกี่ยวกับอาการ
เทคนิคการผ่อนคลาย เช่น การหายใจลึกๆ, การคลายกล้ามเนื้อ
การเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่หลีกเลี่ยงอย่างค่อยเป็นค่อยไป (Exposure Therapy) เพื่อลดความกลัว
การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต:
ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ: ช่วยลดความเครียดและวิตกกังวล
พักผ่อนให้เพียงพอ: นอนหลับให้ได้อย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน
หลีกเลี่ยงสารกระตุ้น: เช่น คาเฟอีน, แอลกอฮอล์, สารเสพติด
จัดการความเครียด: เรียนรู้เทคนิคการผ่อนคลาย เช่น โยคะ, การทำสมาธิ
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์: เน้นผัก ผลไม้ และโปรตีน
สร้างเครือข่ายสนับสนุน: พูดคุยกับคนใกล้ชิด หรือกลุ่มผู้ป่วย
หากคุณหรือคนรู้จักมีอาการที่สงสัยว่าเป็นโรคแพนิก การปรึกษาจิตแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้ได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้องและเริ่มต้นการรักษาได้อย่างเหมาะสม เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นครับ