ตับอักเสบ มีอาการแรกเริ่มอย่างไร รักษาหายไหม เรามีคำตอบ“ตับ” คือ อวัยวะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในช่องท้องและเป็นอีกหนึ่งอวัยวะสำคัญของร่างกายที่มีหน้าที่เกี่ยวกับการควบคุมสารอาหาร สังเคราะห์โปรตีน และผลิตสารชีวเคมีที่จำเป็นในกระบวนการย่อยอาหาร ซึ่งจะทำให้ระบบต่าง ๆ สามารถทำงานได้อย่างปกติ ได้แก่ การย่อยสารอาหาร การสะสมอาหาร รวมไปถึงการกำจัดของเสียและสารพิษออกจากร่างกาย หากตับไม่สามารถทำงานได้ปกติหรือมีภาวะอักเสบก็จะส่งผลต่อระบบต่าง ๆ ที่กล่าวมาด้วยเช่นกัน วันนี้เราจะมาแชร์ความรู้เรื่องภาวะตับอักเสบ เพื่อทุกคนจะได้สังเกตอาการแรกเริ่มและเข้าใจวิธีการรักษาได้
ตับอักเสบเกิดขึ้นได้อย่างไร
ตับอักเสบ (Hepatitis) คือ ภาวะอักเสบที่เกิดขึ้นบริเวณตับ สาเหตุอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ หรือปัจจัยอื่น ๆ เช่น การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก การใช้สารเสพติด หรือผลข้างเคียงจากการใช้ยา เป็นต้น เมื่อตับเกิดอาการอักเสบขึ้นจะส่งผลให้เซลล์ตับตาย และหากไม่ได้รับการรักษาตับจะเริ่มเป็นแผล จนเกิดเป็นพังผืด จนทำให้ตับแข็ง หรือเกิดเป็นมะเร็งได้ในที่สุด
ปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดตับอักเสบ
· การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ
โดยเชื้อไวรัสตับอักเสบมีทั้งหมด 5 ชนิด ได้แก่ ไวรัสตับอักเสบชนิด A B C D และ E
· การได้รับยาและสารพิษในปริมาณมากและต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน
หรือแม้แต่ยาบางชนิดที่ถึงจะรับในปริมาณน้อย แต่ก็อาจสร้างความเสียหายให้กับตับได้ เช่น ยาแก้ปวดที่มีส่วนผสมของพาราเซตมอล ยากลุ่มเอ็นเสด(NSAIDs) ยาคุมกำเนิด ยาแก้อักเสบอะม็อกซีซิลลิน (Amoxicillin) ที่มีส่วนผสมของคลาวูลาเนท(Clavulanate) ยากลุ่มซัลฟา ยากลุ่มสแตติน (Statin) ยาอะมิโอดาโรน(Amiodarone) ยาอนาบอลิกสเตียรอยด์ (Anabolic Steroids) ยาคลอร์โปรมาซีน(Chlorpromazine) ยาอิริโทรมัยซิน(Erythromycin) ยาเมทิลโดปา(Methyldopa) ยาไอโซไนอาซิด(Isoniazid) ยาเมโธเทรกเซท(Methotrexate) ยาเตตราไซคลีน(Tetracycline) และยากันชักบางชนิด เป็นต้น
· ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดพลาด
ทำให้เกิดการขัดขวางการทำงานของตับ และส่งผลให้ตับเสียหายจนเกิดการอักเสบ ซึ่งมีตั้งแต่ชนิดไม่รุนแรงไปจนถึงขั้นรุนแรง
· มีพฤติกรรมดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก
เพราะแอลกอฮอล์จะเข้าไปทำลายเซลล์ตับ หากปล่อยไว้นานและไม่ได้รับการรักษาอาจจะทำให้ตับเกิดความเสียหายถาวรและนำไปสู่ภาวะตับวายและโรคตับแข็งได้
· มีไขมันพอกบริเวณตับ
ภาวะความผิดปกติของตับที่เกิดจากสาเหตุนี้มักจะไม่แสดงอาการ ส่วนใหญ่อาการจะปรากฏขึ้นเมื่อตับเข้าสู่สภาวะอักเสบขั้นรุนแรงแล้ว โดยผู้ที่เสี่ยงต่อการเกิดสภาวะตับอักเสบจากสาเหตุนี้ ได้แก่ ผู้ป่วยโรคอ้วน โรคเบาหวาน ภาวะไขมันในเลือดสูง และภาวะความดันโลหิตสูง เป็นต้น
5 ชนิดของไวรัสตับอักเสบ
· ไวรัสตับอักเสบชนิด A (Hepatitis A Virus: HAV)
ไวรัสชนิดนี้เป็นชนิดที่พบได้บ่อยในกลุ่มประเทศที่มีระบบสาธารณะสุขไม่ดี เนื่องจากเชื้อจะแพร่กระจายผ่านทางการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่ไม่สะอาดและปนเปื้อนเชื้อไวรัสชนิดนี้ ถ้าหากได้รับเชื้อไวรัส ผู้ป่วยจะมีไข้ รู้สึกอ่อนเพลีย อาเจียน มีลักษณะอาการดีซ่าน เช่น ดวงตาและผิวหนังมีสีเหลือง สีอุจจาระซีดลง และปัสสาวะมีสีเข้มขึ้น เป็นต้น
· ไวรัสตับอักเสบชนิด B (Hepatitis B Virus: HAV)
เป็นไวรัสตับอักเสบอีก 1 ชนิดที่พบบ่อย โดยเฉพาะประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทยด้วย สามารถป้องกันได้โดยการรับวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ B สำหรับการแพร่กระจายของเชื้อนั้น ลักษณะการติดต่อเหมือนกับการติดเชื้อ HIV ซึ่งสามารถติดต่อผ่านทางเลือดหรือของเหลวในร่างกาย เช่น จากแม่สู่ลูก จากการมีเพศสัมพันธ์ หรือการใช้เข็มฉีดยาร่วมกันกับผู้ที่ติดเชื้อ ผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อชนิดนี้จะมีโอกาสเกิดภาวะตับอักเสบรุนแรง ตับอักเสบเรื้อรัง และร้ายแรงจนพัฒนาไปเป็นโรคตับแข็งและมะเร็งตับได้
· ไวรัสตับอักเสบชนิด C (Hepatitis C Virus: HAV)
ผู้ป่วยจะได้รับการติดเชื้อผ่านทางการรับของเหลวจากร่ายกายของผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิด C เข้าไปโดยตรง ซึ่งเกิดขึ้นได้ทั้งจากแม่สู่ลูก การมีเพศสัมพันธ์ และการใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้ติดเชื้อ เช่นเดียวกับไวรัสอักเสบชนิด B ไวรัสตับอักเสบชนิด C เมื่อเข้าสู่ร่ากายจะไม่แสดงอาการ จะรู้ก็ต่อเมื่อตรวจเลือดดูค่าการทำงานของตับเท่านั้น ทำให้ผู้ป่วยไม่รู้ตัวว่ามีเชื้อเข้าไปในร่างกาย และเมื่อเวลาผ่านไปก็อาจเกิดภาวะตับอักเสบเรื้อรัง ทำให้เกิดพังผืดในตับ จนกลายเป็นตับแข็ง และมะเร็งตับ หรืออาจถึงขั้นเสียชีวิตได้
· ไวรัสตับอักเสบชนิด D (Hepatitis D Virus: HAV)
เชื้อไวรัสชนิดนี้พบได้น้อยแต่มีความรุนแรงมากกว่าชนิดอื่น 10 เท่า โดยการแพร่ของเชื้อจะเกิดจากการรับเลือดของผู้ติดเชื้อโดยตรง และจะเกิดกับผู้ที่ได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบ B อยู่ก่อนแล้วเท่านั้น เพราะเชื้อไวรัสชนิด D ไม่สามารถแพร่กระจายได้หากไม่มีเชื้อไวรัสชนิด B อยู่ในร่างกาย
· ไวรัสตับอักเสบชนิด E (Hepatitis E Virus: HAV)
พบได้ในพื้นที่ที่มีปัญหาด้านระบบสาธารณสุข เช่น ประเทศแถบเอเชีย ตะวันออกกลาง อเมริกากลาง และแอฟริกา โดยจะเกิดกับพื้นที่ที่ระบบการจัดการน้ำไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการปนเปื้อนได้ เพราะผู้ป่วยจะได้รับเชื้อจากการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่มีการปนเปื้อนเชื้อไวรัสเข้าไป หรือการบริโภคเนื้อสัตว์ที่ไม่ผ่านการปรุงสุกเพื่อฆ่าเชื้อก่อน โดยผู้ป่วยจะมีอาการคล้ายกับผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดอื่น แต่จะเกิดอาการตับอักเสบเฉียบพลัน และนำไปสู่การเป็นตับอักเสบเรื้อรังและตับแข็งด้วย
อาการทั่วไปของผู้ป่วยตับอักเสบ
· ตับอักเสบเฉียบพลัน
o รู้สึกเหนื่อย เมื่อยล้า เพลียตลอดเวลา
o ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ
o มีไข้สูง 38 องศาขึ้นไป
o ปัสสาวะสีเข้ม
o อุจจาระสีซีด
o ปวดท้อง
o เบื่ออาหาร
o คันตามผิวหนัง
o น้ำหนักตัวลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
o เกิดภาวะดีซ่าน หรือตัวเหลือง ตาเหลือง
· ตับอักเสบเรื้อรัง ในช่วงแรกเริ่มจะไม่มีปรากฏอาการชัดเจน แต่จะเริ่มแสดงอาการเมื่อตับเริ่มทำงานได้ไม่เต็มที่หรือเริ่มมีภาวะไตวายแล้ว
o ภาวะดีซ่าน
o ขา เท้า และข้อเท้าบวม
o รู้สึกมึนงง สับสน
o อาเจียน หรืออุจจาระเป็นเลือด
วิธีการรักษาตับอักเสบ
ปัจจุบันยังไม่มีการรักษาโดยเฉพาะ ทำให้การรักษาจะทำโดยการใช้ยาต้านไวรัสเพื่อกำจัดเชื้อ คือ การฉีดยาอินเตอร์เฟียรอน(Interferon) และการรับประทานยาลามิวูดีน(Lamivudine) ซึ่งยาทั้งสองชนิดจะเข้าไปลดการอักเสบและทำให้ระดับเอนไซม์ของตับกลับสู่ภาวะปกติ นอกจากนั้นยังอาจลดเนื้อเยื่อพังผืดในตับ ป้องกันการเกิดตับแข็งหรือภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ได้ โดยแพทย์จะเป็นผู้ตัดสินใจเลือกชนิดและกำหนดปริมาณยาให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละคน
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิด B และ C ชนิดเรื้อรังมีความเสี่ยงที่เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น โรคตับเรื้อรัง โรคตับแข็ง ตับวาย และมะเร็งตับ นอกจากนั้นยังมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่เป็นอันตราย ได้แก่
· ภาวะเลือดออกผิดปกติ
· ท้องมาน – ภาวะที่ของเหลวสะสมระหว่างเยื่อหุ้มช่องท้อง และอวัยวะภายในช่องท้องมากผิดปกติ ทำให้พุงขยายใหญ่คล้ายคนตั้งครรภ์
· ภาวะความดันสูงในระบบหลอดเลือดดำของตับ
· ภาวะไตวาย
· อาการทางสมองที่มีสาเหตุจากโรคตับ
· มะเร็งตับ
· เสียชีวิต
ผู้ป่วยโรคตับอักเสบต้องดูแลตนเองอย่างไรบ้าง
· รับประทานอาหารอย่างเหมาะสม คือ อาหารที่ถูกหลักอนามัย ปรุงสุก สะอาดและครบ 5 หมู่
· หลีกเลี่ยงยาและอาหารเสริมที่ไม่จำเป็น รวมถึงยาสมุนไพรและยาลูกกลอน
· หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ทุกชนิด
· ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และควรเลือกชนิดกีฬาที่ไม่หักโหม เหมาะกับวัย เช่น วิ่ง เดินเร็ว ว่ายน้ำ เป็นต้น
· ใช้ยาตามที่แพทย์กำหนด และควรปฏิบัติตามคำสั่งแพทย์ทุกครั้งในการใช้ยา
· ตรวจเลือดทุก 3 – 6 เดือนและตรวจอัลตราซาวด์ทุก 6 – 12 เดือน
ตับอักเสบป้องกันได้เพียงแค่...
· หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง ได้แก่
o การใช้สารเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้น
o การใช้ของมีคมร่วมกับบุคคลอื่น เช่น มีดโกน กรรไกรตัดเล็บ
o การมีคู่นอนหลายคน หรือมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย
o บุคลากรทางการแพทย์ควรสวมถุงมือ แว่นตา หรือชุดคลุมเมื่อต้องสัมผัสกับเลือดหรือสารคัดหลั่งของผู้ป่วยทุกครั้ง
o หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อให้ตับได้พักจากการทำงานหนัก
· หญิงตั้งครรภ์ที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบ ควรพบแพทย์เพื่อตรวจประเมินว่าจำเป็นต้องรับยาต้านเชื้อไวรัสหรือไม่เพื่อป้องกันการส่งต่อเชื้อสู่ทารก
· ฉีดวัคซีน ซึ่งอาจช่วยป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิด A และ B ได้ โดยปกติเด็กจะได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ B ตั้งแต่แรกเกิด แต่สำหรับเด็กอายุ 10 ปีขึ้นไปและผู้ใหญ่จำเป็นต้องตรวจเลือดเพื่อหาภูมิคุ้มกันก่อนรับวัคซีน