โพสฟรี

โพสฟรี => สินค้า บริการอื่น ๆ => ข้อความที่เริ่มโดย: siritidaphon ที่ 26 มิถุนายน 2025, 14:10:37 pm

หัวข้อ: Doctor At Home: โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเอ็มจี (Myasthenia Gravis: MG)
เริ่มหัวข้อโดย: siritidaphon ที่ 26 มิถุนายน 2025, 14:10:37 pm
Doctor At Home: โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเอ็มจี (Myasthenia Gravis: MG) (https://doctorathome.com/)

โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเอ็มจี (Myasthenia Gravis: MG) ซึ่งเป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย (Autoimmune Disease) ที่เข้าไปทำลายการสื่อสารระหว่างเส้นประสาทและกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อทำงานผิดปกติและเกิดอาการอ่อนแรงได้ง่าย

สาเหตุของโรค Myasthenia Gravis (MG)

สาเหตุหลักของ MG คือระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติ โดยจะสร้าง แอนติบอดี (Antibody) ขึ้นมาทำลายหรือยับยั้งโปรตีนตัวรับสารสื่อประสาทชื่อ อะซีทิลโคลีน (Acetylcholine) ที่บริเวณรอยต่อระหว่างปลายประสาทกับกล้ามเนื้อ (Neuromuscular Junction) เมื่อกล้ามเนื้อไม่สามารถรับสัญญาณจากเส้นประสาทได้อย่างเต็มที่ จึงทำให้เกิดอาการอ่อนแรง

แม้ว่าส่วนใหญ่จะเกิดจากภูมิคุ้มกันที่ทำงานผิดปกติ แต่ก็มีปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจเกี่ยวข้อง เช่น:

ต่อมไทมัส (Thymus gland): ผู้ป่วย MG จำนวนมากมีความผิดปกติของต่อมไทมัส (ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบภูมิคุ้มกัน) เช่น มีขนาดใหญ่กว่าปกติ หรือเป็นเนื้องอก (Thymoma)
พันธุกรรม: แม้ไม่ใช่โรคทางพันธุกรรมโดยตรง แต่มีการพบว่าบางครอบครัวอาจมีความเสี่ยงสูงขึ้น
โรคภูมิคุ้มกันผิดปกติอื่น ๆ: ผู้ป่วย MG อาจมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นหากมีโรคภูมิคุ้มกันผิดปกติอื่น ๆ เช่น โรคไทรอยด์ หรือโรค SLE (Systemic Lupus Erythematosus)
การติดเชื้อและการอักเสบ: การติดเชื้อหรือการอักเสบในร่างกายอาจกระตุ้นหรือทำให้อาการของโรคแย่ลงได้


อาการของโรค Myasthenia Gravis (MG)

อาการสำคัญของ MG คือ กล้ามเนื้ออ่อนแรงง่าย และอาการจะแย่ลงเมื่อใช้งานกล้ามเนื้อนั้นนาน ๆ หรือซ้ำ ๆ และจะดีขึ้นเมื่อได้พักผ่อน อาการที่พบบ่อย ได้แก่:

กล้ามเนื้อตา: เป็นอาการที่พบบ่อยที่สุดและมักเป็นอาการแรกเริ่มของโรคในผู้ป่วยเกือบ 50%
หนังตาตก (Ptosis): อาจเป็นข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง
มองเห็นภาพซ้อน (Diplopia): อาจเป็นในแนวนอนหรือแนวตั้ง และมักจะดีขึ้นเมื่อหลับตาข้างหนึ่ง
กล้ามเนื้อใบหน้าและลำคอ:
พูดไม่ชัด: เสียงอาจเปลี่ยนไป เสียงขึ้นจมูก หรือพูดลำบาก
เคี้ยวหรือกลืนอาหารลำบาก: อาจสำลักบ่อย ทำให้เสี่ยงต่อภาวะปอดติดเชื้อ
กล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรง: ทำให้แสดงสีหน้าได้ไม่เต็มที่ ปากเบี้ยว

กล้ามเนื้อแขนขา:
อ่อนแรง: เช่น เดินขึ้นบันไดลำบาก ยกแขนสระผมหรือหวีผมลำบาก หยิบจับสิ่งของได้ไม่มั่นคง
อาการอ่อนแรงมักเป็นที่โคนแขนโคนขามากกว่าปลายมือปลายเท้า
กล้ามเนื้อที่เกี่ยวกับการหายใจ: เป็นอาการที่รุนแรงและอันตรายที่สุด
เหนื่อยง่าย หายใจลำบาก: บางรายอาจรุนแรงถึงขั้น ภาวะวิกฤตกล้ามเนื้ออ่อนแรง (Myasthenic Crisis) ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะหายใจล้มเหลวและต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ

ระยะของโรค:

ระยะเริ่มต้น: มีอาการอ่อนแรงเล็กน้อย เช่น ยกแขนลำบาก หรือเดินสะดุด
ระยะกลาง: อาการรุนแรงขึ้นจนส่งผลต่อชีวิตประจำวัน เช่น พูดไม่ชัด กลืนลำบาก หายใจติดขัด
ระยะสุดท้าย: ผู้ป่วยไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจและให้อาหารทางสายยาง


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจาก:

ประวัติและอาการ: โดยละเอียด
การตรวจร่างกาย: เพื่อดูความอ่อนแรงของกล้ามเนื้อ
การทดสอบเลือด: เพื่อหาแอนติบอดีที่จำเพาะกับโรค MG
การตรวจการทำงานของกล้ามเนื้อและเส้นประสาท (Electromyography - EMG): โดยเฉพาะการกระตุ้นประสาทซ้ำ ๆ (Repetitive Nerve Stimulation)
การถ่ายภาพรังสี: เช่น CT Scan หรือ MRI บริเวณช่องอก เพื่อตรวจดูต่อมไทมัส


การรักษา
โรค Myasthenia Gravis เป็นโรคเรื้อรังที่ ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถ ควบคุมอาการ ให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ โดยการรักษาจะแบ่งเป็น:

การรักษาด้วยยา: เป็นการรักษาหลัก

ยากลุ่มเพิ่มการทำงานของสารสื่อประสาท (Cholinesterase Inhibitors): เช่น Pyridostigmine (Mestinon) ช่วยเพิ่มปริมาณอะซีทิลโคลีนที่รอยต่อเส้นประสาทและกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อทำงานได้ดีขึ้น มีความปลอดภัยสูง แต่ช่วงแรกอาจมีผลข้างเคียง เช่น ปวดท้อง ถ่ายท้อง น้ำลายไหล กล้ามเนื้อกระตุก
ยากดภูมิคุ้มกัน (Immunosuppressants): เช่น Corticosteroids (Prednisolone) หรือ Azathioprine, Mycophenolate Mofetil เพื่อลดการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันที่ทำลายกล้ามเนื้อ ผู้ป่วยมักได้รับยานี้ในระยะยาว จึงควรเฝ้าระวังและป้องกันภาวะแทรกซ้อนอย่างใกล้ชิด
ยาชีววัตถุ (Biologic drugs): เช่น Eculizumab, Rituximab สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงและไม่ตอบสนองต่อยามาตรฐาน


การรักษาโดยการผ่าตัด:

การผ่าตัดต่อมไทมัส (Thymectomy): ในผู้ป่วยบางรายที่มีต่อมไทมัสโตผิดปกติ หรือมีเนื้องอกที่ต่อมไทมัส การผ่าตัดออกอาจช่วยให้อาการของโรคดีขึ้นได้ โดยเฉพาะในผู้ป่วยอายุน้อย


การรักษาแบบเร่งด่วนสำหรับภาวะวิกฤต (Myasthenic Crisis):

การเปลี่ยนถ่ายน้ำเหลือง (Plasmapheresis): เพื่อกรองแอนติบอดีที่ผิดปกติออกจากเลือด
การให้สารภูมิคุ้มกันทางหลอดเลือดดำ (Intravenous Immunoglobulin - IVIG): เพื่อปรับสมดุลภูมิคุ้มกันของร่างกาย


การดูแลตนเองและข้อควรปฏิบัติสำหรับผู้ป่วย MG

การดูแลตนเองเป็นสิ่งสำคัญมากในการควบคุมอาการและป้องกันภาวะแทรกซ้อน:

รับประทานยาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด: ไม่ควรปรับยาหรือหยุดยาเอง
พักผ่อนให้เพียงพอ: การพักผ่อนช่วยให้กล้ามเนื้อฟื้นตัว และลดอาการอ่อนแรง
หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องออกแรงต่อเนื่องหรือหนักเกินไป: ออกกำลังกายได้แต่ไม่ควรหักโหม ควรทำอย่างเหมาะสม

หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้อาการแย่ลง:

ความเครียด
การพักผ่อนไม่เพียงพอ
อากาศร้อนจัดหรือหนาวจัด
การติดเชื้อหรืออาการเจ็บป่วย (ควรปรึกษาแพทย์ทันทีเมื่อมีอาการป่วย)
ยาบางชนิดที่อาจทำให้อาการแย่ลง (เช่น ยาปฏิชีวนะบางชนิด, ยาคลายกล้ามเนื้อ, ยาสลบ, ยานอนหลับบางชนิด) ควรแจ้งแพทย์ทุกครั้งว่าตนเองเป็นโรค MG
ระมัดระวังเรื่องการสำลัก: หากมีอาการกลืนลำบาก ควรทานอาหารอ่อน ๆ ค่อย ๆ เคี้ยวและกลืนทีละน้อย อาจต้องปรึกษานักโภชนาการหรือนักบำบัดการกลืน
ระวังอุบัติเหตุ: จากอาการอ่อนแรง เช่น การหกล้ม ควรจัดสภาพแวดล้อมในบ้านให้ปลอดภัย
ป้องกันการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ: เนื่องจากเป็นภาวะแทรกซ้อนที่อันตราย หมั่นล้างมือ หลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับผู้ป่วย
พบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ: เพื่อติดตามอาการ ปรับยา และรับคำแนะนำ

การใช้ชีวิตตามปกติเท่าที่จะเป็นไปได้ และมีทัศนคติเชิงบวกก็เป็นส่วนสำคัญในการรับมือกับโรคนี้ หากมีข้อสงสัยหรืออาการผิดปกติ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที